สวัสดีค่ะวันนี้ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ รายวัน icare seniors home จะมาพูดถึงวิตามินดีนั้นว่ามีความสำคัญกับสุขภาพของผู้สูงอายุอย่างไรบ้าง อันดับแรกเลย ก็คื อผู้สูงอายุนั้นมักจะคิดว่าตัวเองไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการขาดวิตามินดี เพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่และญาติมักจะมีความเข้าใจที่ว่าอยู่ที่ประเทศไทยที่เราอาศัยอยู่นั้น เราได้รับแสงแดดอย่างพอเพียงโดยวิตามินดีนั้นสามารถกระตุ้นได้จากรังสีในแสงแดด และสามารถถูกสร้างขึ้นได้เองในร่างกายของผู้สูงอายุ
โดยผู้สูงอายุในประเทศไทยนั้นมักจะมีความเชื่อที่ผิดว่า การหลบเลี่ยงแสงแดดจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดรอยดำ รอยแดง ผิวหนังอักเสบ จุดหมองคล้ำ รอยเหี่ยวย่น และการที่มีริ้วรอยก่อนวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เป็นคนไทยนั้นผิวหนังชั้นนอกจะมีเม็ดสีเมลานีนมากกว่าคนชาติอื่นๆ โดยเม็ดสีเมลานีนนี้เองที่จะทำให้ผิวของคนชรานั้นมีสีผิวที่เข้มกว่าคนในชาติยุโรป หรืออเมริกา โดยข้อดีของเม็ดสีเมลานีนในร่างกายของผู้สูงอายุที่เป็นคนไทย ก็คือ การลดการเกิดมะเร็งที่ผิวหนัง รวมถึงเม็ดสีเมลานีจะป้องกันการทำลายผิวหนังจากแสงแดด แต่ข้อเสียของเม็ดสีเมลานีน ก็คือ การกระตุ้นในการสร้างวิตามินดีของร่างกายผู้สูงอายุนั้นจะลดลง เพราะว่าเมื่อรังสี uvb เข้าสู่ชั้นผิวหนังของผู้สูงอายุแล้ว ก็จะทำให้ลดการสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกาย ซึ่งเราสามารถพบได้ในผู้สูงอายุที่เป็นคนไทยทั่วๆ ไป โดยจากการศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาของโรงพยาบาลรามาธิบดีได้พบว่า คนไทยร้อยละ 45 ขาดวิตามินดี โดยที่มีระดับวิตามินดีนั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รวมถึงการขาดวิตามินดีจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เกิดขึ้น
vdo กิจกรรมทำสวนปลูกต้นไม้ : https://youtu.be/OGlzzP80zg0
สาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุมีอาการขาดวิตามินดี ได้แก่
1. อายุที่เพิ่มมากขึ้น เพราะว่าการที่วิตามินดีจะสร้างขึ้นที่ชั้นผิวหนังในผู้สูงอายุ ก็จะมีความสามารถในการสร้างวิตามินดีในร่างกายนั้นลดลง ซึ่งสวนทางกับอายุของคนชราที่เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ผู้สูงอายุมีโอกาสที่จะขาดวิตามินดีได้ค่อนข้างสูง
2. การที่ผู้สูงอายุหลีกเลี่ยงการได้รับแสงแดด เช่น การใส่เสื้อแขนยาว การกางร่ม ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะปกป้องผิวจากการได้รับรังสี uvb จึงทำให้ร่างกายของผู้สูงอายุขาดวิตามินดี และไม่เพียงพอต่อการสร้างวิตามินดีด้วยตัวเอง
3. การที่ประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่มีผิวสีเข้ม ซึ่งจากการวิจัยค้นพบว่าคนผิวขาวมีแนวโน้มที่จะสร้างวิตามินดีได้มากกว่าคนที่ผิวสีเข้ม เนื่องจากเม็ดสีเมลานีนั้นจะป้องกันการผ่านของแสงอาทิตย์ uvb ทำให้คนผิวสีเข้มต้องใช้ระยะเวลานานกว่าคนผิวสีขาวในการสร้างวิตามินดี ซึ่งร่างกายของผู้สูงอายุที่มีผิวสีเข้มจึงต้องการแสงแดดมากกว่าผู้สูงอายุที่มีผิวสีขาว
4. การทาครีมกันแดด โดยที่การทาครีมกันแดดนั้นจะป้องกันแสงแดด uvb เข้าสู่ผิวหนังได้โดยตรง แต่ก็จะทำให้ผิวหนังนั้นไม่สามารถที่จะสร้างวิตามินดีได้ด้วยตัวเอง
5. การใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในรถยนต์หรือในออฟฟิศทั้งวัน เนื่องจากในรถยนต์และออฟฟิศนั้นส่วนใหญ่แล้วจะติดฟิล์มป้องกันแสงแดด จึงทำให้ผู้สูงอายุนั้นไม่ได้รับวิตามินดี และจึงทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินดีได้ด้วยตัวเอง
จากการวิจัยค้นพบว่า แคลเซียมจะถูกดูดซึมได้ดีในร่างกายก็ต่อเมื่อร่างกายได้รับวิตามินดีวิตามินดีที่เหมาะสมและเพียงพอ โดยแคลเซียมนั้นจะถูกดูดซึมโดยที่วิตามินดีจะเป็นส่วนสำคัญ โดยบริเวณลำไส้นั้นผู้สูงอายุที่ไม่สามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดี ก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะว่าขาดวิตามินดี ได้โดยในการปัจจุบันนั้นจากการวิจัยค้นพบว่าวิตามินดีจะทำหน้าที่คล้ายกับฮอร์โมน เพราะว่าวิตามินดีนั้นมีบทบาทที่สำคัญต่อร่างกาย โดยไม่ใช่แค่เฉพาะการดูดซึมแคลเซียม แต่รวมถึงมีความสำคัญที่เหมือนกับฮอร์โมนตัวหนึ่งด้วย
ประโยชน์ของวิตามินบีมีดังต่อไปนี้
1. ป้องกันโรคกระดูกพรุน คือโรคนี้กระดูกของผู้สูงอายุจะทนต่อแรงกระแทกได้น้อย เกิดการแตกหักได้ง่าย รวมถึงกระดูกจะมีความเปราะบาง ซึ่งโรคนี้จะทำให้ผู้สูงอายุมีชีวิตและคุณภาพชีวิตในการดำเนินการต่างๆ ที่แย่ลง และอาจจะเสียชีวิตได้ จากข้อมูลของศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ราคาไม่แพง ถนนรามคำแหง ได้บอกว่ามีการวิจัยซึ่งค้นพบว่าผู้สูงอายุที่เป็นโรคกระดูกพรุน หรือกระดูกสะโพกหัก โดยใน 1 ปีแรกจะเสียชีวิตถึงร้อยละ 20 เพราะว่าโรคนี้จะมีอาการแทรกซ้อนต่างๆ ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่ โดยที่ผู้สูงอายุอีกกว่าครึ่งหนึ่งไม่สามารถที่จะกลับมาเคลื่อนไหวได้เหมือนเดิม จึงทำให้ญาติต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ รวมถึงต้องจ้างผู้ดูแล นักกายภาพ ด้วยสาเหตุดังกล่าวนี้จึงทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง โดยการรับประทานวิตามินดีที่มีปริมาณสูงจะช่วยทำให้ป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ เพราะวิตามินดีจะช่วยให้ร่างกายมีการดูดซึมแคลเซียมที่ลำไส้ได้ดี รวมถึงจะลดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูก และวิตามินดียังจะช่วยรักษาสมดุลของแคลเซียมในร่างกายจึงสามารถป้องกันโรคกระดูกพรุนได้เป็นอย่างดี
2. ป้องกันโรคกระดูกอ่อน โดยโรคกระดูกอ่อนนั้นก็จะมีอาการคล้ายๆ กับโรคกระดูกพรุน ก็คือ กระดูกจะไม่มีความแข็งแรงและเปราะบาง แต่ว่าสาเหตุในการเกิดโรคนั้นจะแตกต่างกัน โดยโรคกระดูกอ่อนนั้นมักจะพบในผู้สูงอายุที่ขาดวิตามินดีและแคลเซียม โดยสามารถเกิดได้ตลอดเวลา โดยอาการส่วนมากก็คือ จะปวดเมื่อยตามแขนและขาทั้งสองข้าง รวมถึงกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ จะรู้สึกว่าอ่อนแรง โดยผู้ที่เป็นโรคกระดูกอ่อนนั้นจำเป็นที่ต้องได้รับการรับประทานวิตามินดี เพื่อที่จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเสริมความแข็งแรงของกระดูกในส่วนต่างๆ ของร่างกาย
3. ป้องกันการลื่นล้ม โดยวิตามินดีนั้นจำเป็นต่อการหดและยืดของกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อขา ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อขานั้นมีความแข็งแรง ตอบสนองต่อการทรงตัว และการเดินได้เป็นอย่างดี โดยจากการศึกษาวิจัยค้นพบว่า ผู้สูงอายุที่รับประทานวิตามินดีในปริมาณที่ดีและพอเหมาะนั้น จะลดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงและลดโอกาสที่จะลื่นล้มลงกับพื้นถึงร้อยละ 22 และลดการแตกหักของกระดูกสะโพกได้ถึงร้อยละ 30 รวมถึงลดอัตราการแตกหักบริเวณอื่นๆ อีกร้อยละ 14 เป็นต้น
4. ควบคุมความดันโลหิตในร่างกาย โดยวิตามินดีนั้นจะไปทำการสร้างสารเรนินที่บริเวณไต เพื่อที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุควบคุมความดันโลหิตร่างกายได้ดีมากยิ่งขึ้น
5. ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิต้านทาน โดยวิตามินดีจะทำให้เม็ดเลือดขาวตอบสนองต่อเชื้อโรคได้ดี รวมถึงจะช่วยสร้างภูมิต้านทานและช่วยในการทำงาน ซึ่งรวมถึงปกป้องสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ร่างกายได้ดีมากยิ่งขึ้น
6. ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ในร่างกาย โดยวิตามินดีจะช่วยในการควบคุมการเจริญเติบโตในเซลล์ของร่างกายได้ดี โดยเฉพาะเซลล์ที่บริเวณต่อมลูกหมาก เต้านม และลำไส้ ของคนชรา รวมถึงยังจะช่วยให้เซลล์บริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกายดำเนินการไปได้อย่างเป็นปกติ
7. วิตามินดี จะช่วยควบคุมระบบน้ำตาลในร่างกาย ซึ่งจะช่วยสร้างกระบวนการอินซูลินที่ตับอ่อน ทำให้ร่างกายสร้างอินซูลินได้ดี และควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายของผู้สูงอายุให้ทำงานเป็นปกติได้ดียิ่งขึ้น
โดยจากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้ทางญาติได้ทราบว่าวิตามินดีนั้นมีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม รวมถึงผู้สูงอายุที่ขาดวิตามินดีนั้นจะมีโอกาสเกิดเป็นโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคกระดูกอ่อน โรคกระดูกพรุน โรคมะเร็ง รวมถึง โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น
รีวิวการออกกำลังพร้อมกัน 7 คน : https://youtu.be/jimMYo56Gy4
ต่อมาเราจะมาพูดถึงว่าใครบ้างที่ควรจะได้รับการรับประทานวิตามินดี
1. เลยคือผู้ที่ต้องการป้องกันโรคกระดูกพรุน และต้องการบำรุงกระดูก ควรที่จะรับประทานวิตามินดีควบคู่ไปกับการรับประทานแคลเซียมเสริม เพื่อป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
2. ผู้สูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไป ทั้งหญิงและชาย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการล้ม และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน เนื่องจากการขาดวิตามินดีจะทำให้แขนขานั้นไม่มีแรง
3. ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงนั้นลดลง ทำให้แคลเซียมนั้นลดลงตามไปด้วย โดยจากการวิจัยค้นพบว่าผู้หญิงที่หมดประจำเดือน นั้นมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนมากกว่าผู้ชาย
4. บุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินดี เนื่องจากเป็นผู้ที่ได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ เช่น ผู้ป่วยพักฟื้น หรือว่าคนที่ทำงานออฟฟิศเป็นประจำ